อยากหนีความหงุดหงิด ความเบื่อหน่าย ความวุ่ยวายออกไปจากสถานการณ์ตรงหน้า แต่ไม่รู้ว่าจะหนีมันยังไง จะต้องวิ่งหนีไปไกลมากแค่ไหน เพื่อจัดการสงบสติอารมณ์ให้กลับสู่ภาวะปกติ บทความนี้อยากชวนคุณไปเที่ยวในที่ที่ช่วยผ่อนคลาย หนีปัญหาไปสักพักใหญ่ๆ
หนีที่ 1 คือ หนีออกไปอยู่กับธรรมชาติ สูดอากาศบริสุทธิ์ข้างนอกตึก วิ่งหาพื้นที่โล่งกว้าง สนามหญ้าสีเขียวๆ ที่เต็มไปด้วยต้นไม้สีเขียว ดอกไม้สีสันสวยงาม ช่วยให้เรารู้สึกสบายตา อาจะพ่วงกับกิจกรรมเดินเล่น ออกกำลังกายเบาๆ เช่น เดินเร็ว กายบริหาร จะทำให้เรารู้สึกสบายและมีความสุขขึ้น
หนีที่ 2 คือ หนีไปออกกำลังกาย เพราะการออกกำลังกายจะทำให้ร่างกายเราหลั่งสารเอ็นโดรฟิน หรือสารแห่งความสุขออกมา รับรองว่าหายเซ็งแน่นอน เลือกชนิดการออกกำลังกายได้ตามสบาย ทั้งว่ายน้ำ วิ่ง เล่นบาสเกตบอล โยคะ เตะฟุตบอล ได้ทุกชนิดเลย
หนีที่ 3 คือ หนีไปดูแลสุขภาพ ง่ายที่สุดคือการนอนหลับพักผ่อนให้เต็มที่ เพราะการที่ร่างกายเราไม่แข็งแรงหรือพักผ่อนไม่เพียงพอ มักจะส่งผลให้อารมณ์ของเราให้หงุดหงิดไม่ปกติ มึนหัว หรือคิดอะไรไม่ค่อยออก อารมณ์ก็ไม่สดใส หัวเราะไม่ค่อยออก หนีไปกินอาหารดีดี ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และหนีไปตรวจสุขภาพประจำปี จะได้รู้ว่าเรามีสุขภาพแข็งแรง
หนีที่ 4 คือ หนีไปปฎิบัติธรรม ต้องพึ่งทางธรรมให้จิตใจสงบ ฝึกนั่งสมาธิ กำหนดลมหายใจ รักษาศีล อยู่กับตัวเอง สวดมนต์ ทำวัตร ก็จะทำให้เราเข้าสู่โลกแห่งธรรม โดยทิ้งโลกแห่งความจริงไว้สักพัก
หนีที่ 5 คือ หนีไปฝึกเป็นคนร่าเริง ยิ้มง่าย ใช้อารมณ์ขัน ฝึกหัวเราะความร่าเริงมาพิชิตความเซ็งได้ ความสุขก็จะตามมาในที่สุด หรือลองดูหนังตลก อ่านหนังสือการ์ตูนขำขันให้อารมณ์ดีขึ้น
หนีที่ 6 คือ หนีไปหาของอร่อยๆรับประทาน โดยเฉพาะของหวาน ที่มีการแต่งจาน จัดจานได้น่ารักๆ เพราะจะทำให้เรารู้สึกมีความสุขตั้งแต่เดินเข้าไปที่ร้าน บรรยากาศอ่อนหวาน และรู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้กินขนมก็จะสดชื่น เช่น เค้กผลไม้ ไอศกรีมผลไม้ หวานเย็น น้ำเเข็งไส เป้นต้น อย่างไรก็ตาม ทางหนีนี้อย่าทำบ่อยนัก เพราะสิ่งที่ตามมาก็คือน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นได้นั่นเอง
อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว ตัดสินใจได้หรือยังว่าจะหนีไปทางไหนดีคะ
เอกสารอ้างอิง
-วาทินี สุขมาก (2556) การพยาบาลสุขภาพจิตและจิตสังคม 1, สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยมหาสารคาม:มหาสารคาม
-บทความออนไลน์ “เปลี่ยนนิสัยขี้หงุดหงิด ด้วย 6 วิธีเด็ด ทำแล้วดีชัวร์ คอนเฟิร์ม !”, เข้าถึงได้จาก https://health.kapook.com/view110273.html