คนที่ฝึกสติ ทำให้มีความสุขมากขึ้น มีสุขภาพที่ดีและอายุที่ยืนยาว หลายครั้งที่คนจะไม่สามารถแยกสติกับสมาธิออกจากกันได้ ซึ่งอันที่จริงแล้วสมาธิคือการจดจ่ออยู่กับสิ่งหนึ่ง เช่น ลมหายใจอย่างต่อเนื่อง แต่สติคือการรับรู้สิ่งที่เข้ามาสัมผัสในปัจจุบัน เข้าใจ แต่ควบคุมได้ ไม่เผลอไปกับสิ่งที่เข้ามา ในชีวิตประจำวันถ้าทำอะไรอยู่ การมีสติทำให้สิ่งที่กำลังกระทำได้อย่างที่ควรจะเป็น ซึ่งนับเป็นปัญหาใหญ่ในโลกปัจจุบัน ที่สิ่งกระตุ้นอยู่รอบตัว ทำให้มนุษย์รู้สึกว่าตัวเองต้องเปรียบเทียบกับคนอื่นอยู่ตลอดเวลา คิดว่าชีวิตยังต้องดิ้นรน ยังขาด ยังไม่สมบูรณ์ แล้วคิดว่าตนเองไม่มีความสุข จนบางคนเผลอในการใช้ชีวิตแบบขาดสติ ทำให้เกิดความเสียหายกับชีวิต เกิดอุบัติเหตุ ควบคุมอารมณ์ไม่ได้
การฝึกพัฒนาสติทำได้ตั้งแต่วัยเด็ก โดยมีหลักการอยู่ 2 ข้อ
1. ผู้ใหญ่ต้องเป็นแบบอย่างที่ดี : เริ่มฝึกจากผู้ใหญ่ที่ใกล้ชิดหรือพ่อแม่ก่อน
ถ้าพ่อแม่ไม่ฝึกตนเองไปพร้อมกับลูก การพูดบอกอย่างเดียวคงไม่สามารถช่วยได้ ต้องแสดงให้เด็กเห็นการกระทำด้วย
2. อย่าคาดหวังมากเกินไป : เพราะจะกลายเป็นความกดดันและระเบิดอารมณ์ได้ อาจเกิดเหตุการณ์เมื่อลูกไม่เป็นอย่างที่คาด พ่อแม่จะแสดงภาวะขาดสติแทน ให้เด็กได้ฝึกทักษะด้วยตัวของเขา ค่อยๆ พัฒนาไปตามวัยและเวลาทีฝึก พ่อแม่จะค่อย ๆ ช่วยให้เขารับรู้อารมณ์ที่เกิดขึ้น
วิธีการฝึกมีอะไรบ้าง
นอกจากเป็นการฝึกเด็กให้มีสติเพิ่มเป็นผู้ใหญ่ที่เข้มแข็งในอนาคตแล้ว สำหรับพ่อแม่เอง ถือเป็นเวลาที่จะได้ผ่อนคลายจากการทำงาน มาใช้เวลาอยู่ในครอบครัว สร้างความสัมพันธ์ให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้นอีกด้วย
เอกสารอ้างอิง
พญ. พรรณพิมล วิปุลากร (2560) สติบำบัด, นิตยสาร Health Today ฉบับเดือนกรกฏาคม 2560