บางคนอาจมาด้วยสาเหตุเหนื่อยง่าย เป็นลม หรือที่น่ากลัวที่สุดคือ ไม่มีอาการ ประมาณ 1 ใน 5 อาจจะไม่มีอาการ แต่จะมีโรคหลอดเลือดหัวใจแฝงอยู่
เมื่อไรควรไปพบแพทย์
ถ้ามีอาการดังกล่าวข้างต้นที่เป็นทันที รุนแรงและเป็นมากให้รีบไปโรงพยาบาลที่ใกล้บ้านที่มีหมอหัวใจหรืออายุรแพทย์โดยด่วน ถ้าฉุกเฉินมากโทรเรียก 1669 เพื่อนำส่งโรงพยาบาล
เมื่อมีอาการดังกล่าวเป็นครั้งคราวหรือเป็นบ่อยๆ ควรจะไปพบแพทย์ สำหรับผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปี หรืออายุมากกว่า 40 ปี ในรายที่มีประวัติในครอบครัวเป็นโรคหัวใจ หรือมีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดัน ไขมันสูง เป็นต้น มีสูบบุหรี่ ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจว่าจะมีโรคหลอดเลือดหัวใจซ่อนอยู่หรือไม่
แพทย์จะตรวจอะไรบ้าง?
1. ตรวจเบื้องต้น
- ตรวจร่างกาย ถามประวัติโดยละเอียดตรวจเลือดดูระดับน้ำตาล ไขมัน การทำงานของไต เป็นต้น
- ส่งตรวจ X-Ray ปอด และหัวใจ เพื่อดูว่าเป็นหัวใจโต หลอดเลือดแดงโป่งพองหรือไม่
- ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ
- การตรวจสมรรถภาพหัวใจด้วยการเดินสายพานบนลู่วิ่ง(Exercise stress test หรือ EST) ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของผู้มาตรวจ
ถ้าวิ่งได้เกิน 9 นาที ถือว่าปกติ มีโอกาสปลอดภัย 85% ถ้าวิ่งได้ 6 นาที มีโอกาสปลอดภัย 20%
ถ้าเดินสายพาน แล้วมีหลักฐานว่าหัวใจขาดเลือด คลื่นไฟฟ้าที่ผ่านกล้ามเนื้อหัวใจที่ขาดเลือดจะมีความผิดปกติ สามารถให้การวินิจฉัยได้ว่าเกิดจากหลอดเลือดหัวใจตีบและนำไปตรวจโดยการฉีดสี
บางรายอาจจะปวดข้อเข่า เข่าไม่ดี เดินไม่ไหว สภาพร่างกายไม่เหมาะสม ก็อาจจะทำการตรวจไม่ได้ ไม่สามารถแปลผลได้ ต้องตรวจเพิ่มเติมด้วยวิธีอื่นๆ
- การตรวจคลื่นเสียงสะท้อนหัวใจ (Echo) ใช้ตรวจในรายที่ X-Ray แล้วพบว่ามีหัวใจโต หรือ
แพทย์ตรวจร่างกายแล้วพบหัวใจห้องซ้ายล่างบีบตัวอ่อน หรือลิ้นหัวใจรั่ว แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าเส้นเลือดตีบหรือไม่ ยกเว้นเส้นเลือดหัวใจอุดตัน มีขาดเลือดรุนแรง กล้ามเนื้อหัวใจบางส่วนบีบตัวน้อยหรือไม่บีบตัวเลย การตรวจนี้ก็จะสามารถบอกได้
อย่างไรก็ตาม การตรวจทุกอย่างที่กล่าวมาข้างต้น เป็นการตรวจเพื่อหาหลักฐานทางอ้อม ว่ามีภาวะหัวใจขาดเลือด หรือกล้ามเนื้อหัวใจตายหรือไม่ คงต้องตรวจเพิ่มเติมต่อไปด้วยการฉีดสีตรวจหลอดเลือดหัวใจ
2. การฉีดสีตรวจหลอดเลือดหัวใจ
- Coronary Computed Tomography Angiography (Coronary CTA)เหมาะสำหรับผู้ที่มี
ผลการตรวจแบบทั่วไปก้ำกึ่งทุกอย่าง บอกได้ไม่ชัดเจน แต่มีปัจจัยเสี่ยงหลายอย่าง เช่น เบาหวาน ความดัน ไขมัน เป็นต้น และมีอาการที่น่าสงสัยว่าเป็นหลอดเลือดหัวใจตีบ แพทย์ก็จะทำการส่งไปตรวจ Coronary CTA ซึ่งเป็นการฉีดสีเข้าหลอดเลือดดำ และเข้าเครื่องสแกนคอมพิวเตอร์ตรวจหลอดเลือดหัวใจ แต่จะทำไม่ได้ทุกราย ในบางรายที่มีภาวะหัวใจล้มเหลว กล้ามเนื้อหัวใจบีบตัวไม่ดี โรคไต หรือผู้ป่วยเป็นโรคกลัวที่แคบ ก็จะไม่สามารถทำได้
- การฉีดสีตรวจหลอดเลือดแดงหัวใจ (Coronary angiography )โดยการเจาะหลอดเลือดแดง
บริเวณข้อมือ หรือขาหนีบ แล้วทำการใส่สายสวนเพื่อทำการฉีดสีตรวจหลอดเลือดหัวใจ ซึ่งเป็นการตรวจที่เป็นมาตรฐาน ในรายที่ผลการตรวจ EST เห็นผลชัดเจนว่ามีหัวใจขาดเลือด หรือทำ Echo แล้วเห็นว่ากล้ามเนื้อหัวใจบางส่วนบีบตัวไม่ดี จะใช้การฉีดสีตรวจ
เมื่อทำการตรวจแล้วพบว่ามีหลอดเลือดหัวใจตีบที่รุนแรง หรืออุดตัน แพทย์ก็จะสามารถวางแผนการรักษาต่อด้วยการใส่บอลลูนขยายหลอดเลือดหัวใจ หรือส่งปรึกษาศัลยแพทย์เพื่อทำการผ่าตัด By Pass
หลังจากการฉีดสีแล้ว ถ้าบางรายที่มีปัญหาว่ากล้ามเนื้อหัวใจห้องล่างซ้ายบีบตัวน้อยมาก และกล้ามเนื้อหัวใจบาง แพทย์อาจจะส่งไปตรวจ Cardiac magnetic resonance imaging หรือ CMRI เพื่อดูว่ากล้ามเนื้อส่วนที่บาง เป็นกล้ามเนื้อส่วนที่ขาดเลือด หรือตายแล้ว ถ้าเป็นส่วนที่ตายแล้ว แพทย์ก็จะแนะนำการรักษาที่เหมาะสมต่อไป
เรียบเรียงโดย นพ.เกรียงไกร เฮงรัศมี
หัวหน้ากลุ่มงานอายุรศาสตร์หัวใจ สถาบันโรคทรวงอก