คำว่า“อ้วน” พูดเบา ๆ ก็เจ็บ นอกจากเจ็บใจแล้ว ยังอาจจะป่วยกายอีกด้วย...
ถ้าถามว่า “อ้วนมั้ย” ก็คงตอบยาก เพราะความอ้วนไม่ได้วัดกันที่สายตา แต่วัดกันด้วยค่า“BMI”ต่างหาก
หลายคนคงสงสัยว่า แล้วเจ้า BMI ที่ว่าคืออะไรล่ะ BMI ย่อมาจาก “Body Mass Index” หรือ "ดัชนีมวลกาย" เราหาค่า BMI ได้ง่ายๆ โดยใช้สูตร น้ำหนัก (กก.) หารด้วย ส่วนสูง (ม.) ยกกำลัง 2 หรือ
นายแพทย์ระพีพล กุญชร ณ อยุธยา เลขาธิการสมาคมแพทย์โรคหัวใจฯ ได้ให้เกณฑ์ BMI ดังนี้
สรุปก็คือ ค่า BMI ควรอยู่ระหว่าง 18.5 ถึง 22.9 ถ้ามากกว่า 25 ขึ้นไปถือว่าอ้วนและเสี่ยงต่อโรคหัวใจ โรคเบาหวาน ฯลฯ (ยกเว้นบางคนที่เล่นกล้ามจนมีน้ำหนักกล้ามเนื้อมาก)
ตัวอย่างเช่น ถ้าเราหนัก 70 กก. สูง 170 ซม. (หรือ 1.7 ม.)
ก็ให้นำ 70 มาหารด้วย (1.7 ยกกำลัง 2) = จะได้ค่า BMI เท่ากับ 24.2
ซึ่งเกิน 23 แต่ไม่ถึง 24.9 ถือว่า“น้ำหนักเกิน แต่ยังไม่อ้วน”
...แต่ถ้าเราหนักขึ้นจนถึง 80 กก. สูงเท่าเดิมคือ 170 ซม. (หรือ 1.7 ม.)
ก็ให้นำ 80 มาหารด้วย (1.7 ยกกำลัง 2) = จะได้ค่า BMI เท่ากับ 27.7
...จัดว่า “อ้วนแล้ว”...เพราะ BMI เกิน 25
คนที่มี BMI ปกติก็อย่าเพิ่งดีใจไป เพราะบางคนถึงมี BMI ปกติแต่อาจมีพุงยื่นก็ได้ นั่นเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงไขมันในเลือดสูง เสี่ยงที่จะเป็นโรคต่างๆ โดยเฉพาะโรคหัวใจ!
ส่วนใครที่ BMI เกินหรือลงพุง ควรรีบไปตรวจทั้งไขมัน น้ำตาลในเลือด และความดัน จะได้รู้ว่าตอนนี้เราเสี่ยงแค่ไหน แล้วเริ่มปรับเปลี่ยนการดำรงชีวิตตั้งแต่วันนี้ด้วยหลัก “3 อ.” ทั้งเรื่อง “อาหาร” “ออกกำลัง” รวมทั้งเรื่อง “อารมณ์”
เคล็ดลับง่ายๆ สำหรับ 3 อ. คือ อ. อาหาร เพิ่มผักผลไม้ที่มีกากใย ลด ละ เลิกของมันของหวาน อ. ออกกำลังกายเป็นประจำ เพื่อให้ร่างกาย "ใช้มากกว่าที่รับมา" โดยห้ามพึ่งยาลดความอ้วนเด็ดขาด สุดท้ายคือต้องดูแล อ.อารมณ์ ให้ไม่เครียด เพื่อให้สุขภาพดีทั้งกายใจนั่นเอง