ในปี พ.ศ.2547 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานพระราชดำริให้มูลนิธิชัยพัฒนาร่วมกับมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงดำเนินงานโครงการศึกษาและพัฒนาการปลูกต้นชาน้ำมัน โดยนำเมล็ดพันธุ์และต้นอ่อนของต้นชาน้ำมันมาจากสาธารณรัฐประชาชนจีน มาทดลองปลูกในพื้นที่กว่า 4,000 ไร่ บริเวณแถบภาคเหนือของประเทศไทย
น้ำมันเมล็ดชามีถิ่นกำเนินจากประเทศจีนมากกว่า 1,000 ปี มีประโยชน์มากมายจนได้ชื่อว่าเป็นน้ำมันมะกอกแห่งโลกตะวันออก เนื่องจากมีกรดไขมัน 3 ชนิด ใกล้เคียงน้ำมันมะกอก แต่มีกรดไขมันดี(ไขมันไม่อิ่มตัว)สูงถึง 81-87% โดยประกอบไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3,6,9 ซึ่งเป็นกรดไขมันที่ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดีหรือ LDL และเพิ่มคอเลสเตอรอลชนิดดีหรือ HDL ในเลือดได้ จึงช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดตีบตัน โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวานและโรคหัวใจได้ และเหมาะสำหรับผู้บริโภคทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีภาวะน้ำหนักเกิน ผู้สูงอายุ หรือผู้รักสุขภาพทั่วไป
นอกจากนี้ น้ำมันเมล็ดชายังอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามินอี สารคาเทชิน ซึ่งจะช่วยยืดอายุการเก็บให้นานขึ้น และน้ำมันเมล็ดชาเป็นน้ำมันที่มีจุดเกิดควันสูงมากกว่า 250 องศาเซลเซียส ทำให้สามารถนำไปประกอบอาหารได้ทุกวิธี ไม่ว่าจะเป็นผัด ทอด หรือผสมกับน้ำสลัด หรือทำน้ำซอสก็ได้โดยไม่ต้องกลัวอันตรายต่อสุขภาพเลย
เอกสารอ้างอิง
1. ศูนย์วิจัยและพัฒนาชาน้ำมันและพืชน้ำมัน 2555 หนังสือประชาสัมพันธ์ มูลนิธิชัยพัฒนา
2. บุริม โอทกานนท์ (2555) “ชาน้ำมัน ศูนย์วิจัยและพัฒนาชาน้ำมันและพืชน้ำมัน” จดหมายข่าว สถาบันชา มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ปีที่ 2 ฉบับที่ 9 ตุลาคม-ธันวาคม 2555