ปัญหาของคนวัยทำงานส่วนใหญ่คงหนีไม่พ้นความเครียด เพราะ 1 ใน 3 ของแต่ละวันหมดไปกับการทำงาน บางคนโหมทำงานมากเกินไปจนสูญเสียสมดุลในชีวิต ซึ่งส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาวโดยเฉพาะโรคเกี่ยวกับหัวใจ
กรมสุขภาพจิตเล็งเห็นถึงปัญหาดังกล่าว จึงจัดทำคู่มือสร้างสุขด้วยสติในองค์กร (Mindfulness In Organization : MIO) เพื่อเผยแพร่ความรู้และวิธีกำจัดความเครียดที่ถูกต้องให้แก่ประชาชนด้วยการฝึกสติและสมาธิง่ายๆ นำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้
นอกจากนี้ผลการวิจัยทั้งในและต่างประเทศยืนยันตรงกันว่า การฝึกสติและสมาธิง่ายๆ ช่วยกำจัดความเครียดออกจากจิตใต้สำนึกอย่างได้ผลและยั่งยืน โดยเฉพาะคนกลุ่มวัยทำงาน
สำหรับขั้นตอนในการฝึกสมาธิ 3 ขั้นตอนนั้น ประกอบด้วย
1. ฝึกหยุดความคิด 2 นาที โดยนั่งตัวตรง ศีรษะตรง หลับตาเบาๆ หายใจเข้าออกยาวๆสัก 5-6 ครั้ง ให้รับรู้ลมหายใจที่มาสัมผัสบริเวณปลายจมูก ซึ่งเราจะต้องตั้งใจจับความรู้สึกลมหายใจเข้าออก เนื่องจากบริเวณปลายจมูกมีประสาทรับรู้น้อยกว่าที่อื่น การรับรู้ลมหายใจจึงทำให้หยุดคิด เมื่อทำได้แล้ว ให้หายใจตามปกติ
2 .ฝึกจัดการความคิด 4 นาที ฝึกการจัดการความคิดที่เกิดขึ้นในใจ โดยให้รู้ตัวว่ามีความคิดเกิดขึ้น แต่อย่าติดตาม ปลดปล่อยความคิดนั้นไป และกลับมาสนใจที่ลมหายใจบริเวณปลายจมูก อย่าสั่งตัวเองให้หยุดคิดหรือว้าวุ่นวกวนกับความคิดเพราะจะทำให้จิตไม่สงบ วิธีนี้สมองจะค่อยๆปลดปล่อยความว้าวุ่นออกไปจากจิตใต้สำนึกจนสงบ
3. ฝึกจัดการความง่วงความง่วงเกิดจากจิตเริ่มสงบ ต้องจัดการโดยพยายามยืดตัวให้ตรง เพื่อให้ร่างกายตื่นตัว หายใจเข้าออกลึกๆ 5-6 ครั้ง เมื่อหายง่วงให้กลับมารับรู้ลมหายใจบริเวณปลายจมูกเช่นเดิม ช่วงเวลาฝึกสมาธิที่ดีที่สุดคือเช้าตรู่หรือก่อนนอน เนื่องจากเป็นช่วงที่สงบ
นพ.ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานติ์ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า สติเป็นจิตที่มีคุณภาพในขณะทำงาน ส่วนสมาธิเป็นจิตที่มีคุณภาพขณะพัก ทั้ง 2 ส่วนนี้สัมพันธ์เกื้อหนุนกัน
การนั่งสมาธิทุกวัน วันละ 10-20 นาที จะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ตัวบุคคล ทำให้การทำงานดีขึ้น ควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้น แสดงออกอย่างระมัดระวัง ตระหนักรู้ตัวเอง ทำให้จิตมีความรัก ความเมตตาเสียสละ และอดทน
เนื่องจากจิตในขณะที่มีสติ จะทำงานโดยไม่วอกแวก ไม่ถูกสอดแทรกด้วยอารมณ์ ส่วนจิตขณะทำสมาธิจะหยุดคิดจนเกิดความสงบ เกิดการผ่อนคลายทั้งร่างกายและจิตใจ เป็นการคลายเครียดในระดับลึก
ตรงข้ามกับกระบวนการเกิดอารมณ์และความเครียด ซึ่งจะเริ่มจากการสะสมความว้าวุ่น ความคิดลบจากแรงกดดันต่างๆและจบด้วยการเกิดอารมณ์และความเครียด
จะเห็นได้ว่าการฝึกสมาธิมีประโยชน์มาก ไม่ใช่แค่ช่วยพัฒนาด้านอารมณ์และจิตใจเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อบุคลิกภาพและสุขภาพในระยะยาวด้วยหากเราปรับเปลี่ยนรูปแบบชีวิตให้สอดคล้องย่อมทำให้เกิดความสมดุลและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
แหล่งข้อมูล
http://www.forums.dmh.go.th/index.php?topic=138805.0
https://www.matichon.co.th/news/552939